กันดารวิถี 33:40-35:34
Thai New Contemporary Bible
40 กษัตริย์ชาวคานาอันแห่งอาราดผู้อาศัยอยู่ในเนเกบที่คานาอันได้ข่าวว่าชนอิสราเอลยกมา
41 จากภูเขาโฮร์มาตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์
42 จากศัลโมนาห์มาตั้งค่ายที่ปูโนน
43 จากปูโนนมาตั้งค่ายที่โอโบท
44 จากโอโบทมาตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมที่ชายแดนโมอับ
45 จากไอยิม[a]มาตั้งค่ายที่ดีโบนกาด
46 จากดีโบนกาดมาตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม
47 จากอัลโมนดิบลาธาอิมมาตั้งค่ายที่เทือกเขาอาบาริมใกล้เนโบ
48 จากเทือกเขาอาบาริมมาตั้งค่ายในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค 49 ที่ซึ่งพวกเขาตั้งค่ายพักอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน จากเบธเยชิโมทจดอาแบลชิทธีม
50 ในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโคนี้เององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า 51 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังดินแดนคานาอัน 52 จงขับไล่ชาวดินแดนนั้นออกไปให้หมด และทำลายล้างรูปเคารพทั้งปวงของพวกเขา ไม่ว่าหินสลัก รูปเคารพที่หล่อขึ้น และสถานบูชาบนที่สูงของพวกเขา 53 จงเข้ายึดและตั้งถิ่นฐานที่นั่นเพราะเรายกดินแดนนี้ให้เจ้า 54 จงทอดฉลากแบ่งสรรที่ดินกันตามตระกูล ที่ดินผืนใหญ่จะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลใหญ่ ส่วนที่เล็กลงมาจะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลเล็ก สิ่งที่เขาจับฉลากได้ก็จะเป็นของเขา จงแบ่งที่ดินไปตามเผ่าบรรพบุรุษของท่าน
55 “ ‘แต่หากเจ้าทั้งหลายไม่ยอมขับไล่ประชากรที่อาศัยอยู่ที่นั่นออกไป คนที่เหลืออยู่จะเป็นหอกข้างแคร่และจะเป็นหนามยอกอกของเจ้า พวกเขาจะก่อปัญหาให้กับเจ้าในดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่ 56 และเราจะทำกับเจ้าตามที่เราวางแผนไว้ว่าจะทำกับพวกเขา’ ”
เขตแดนคานาอัน
34 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 2 “จงสั่งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายเข้าสู่คานาอันดินแดนซึ่งจะแบ่งสรรยกให้เป็นมรดกของเจ้านั้นจะมีพรมแดนดังนี้
3 “ ‘ดินแดนทางใต้คือถิ่นกันดารศิน เลียบไปตามพรมแดนเอโดม เขตแดนทางใต้ด้านฝั่งตะวันออกเริ่มจากทะเลตาย 4 ไล่ลงมาผ่านช่องแคบแมงป่องไปยังศิน ลงใต้ไปที่คาเดชบารเนีย เรื่อยมาถึงฮาซารัดดาร์และอัสโมน 5 จากอัสโมนวกไปตามลำน้ำแห่งอียิปต์และสิ้นสุดลงที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
6 “ ‘พรมแดนตะวันตกของเจ้าคือชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
7 “ ‘พรมแดนด้านเหนือของเจ้าเริ่มจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเรื่อยไปถึงภูเขาโฮร์ 8 ไปยังเลโบฮามัท[b] ไปเศดัด 9 เรื่อยไปถึงศิโฟรนจนจดฮาซาเรนัน
10 “ ‘พรมแดนตะวันออกเริ่มจากฮาซาเรนันจนถึงที่เชฟาม 11 เรื่อยลงมาถึงริบลาห์ ด้านตะวันออกของเมืองอายิน ไล่มาตามลาดเขาด้านตะวันออกของทะเลคินเนเรท[c] 12 แล้วเรื่อยมาตามแม่น้ำจอร์แดนและสิ้นสุดที่ทะเลเกลือ
“ ‘นี่จะเป็นดินแดนของพวกเจ้าตามพรมแดนโดยรอบ’ ”
13 โมเสสสั่งชนอิสราเอลว่า “จงจับฉลากแบ่งสรรดินแดนนี้เป็นมรดก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ให้แบ่งกันในหมู่เก้าเผ่าและอีกครึ่งเผ่า 14 เพราะเผ่ารูเบน กาดและมนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้รับมรดกของตนแล้ว 15 สองเผ่าและครึ่งเผ่านี้ได้รับดินแดนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนแห่งเยรีโคเป็นมรดก”
16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 17 “ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผู้ที่จะทำหน้าที่จัดสรรมรดกในดินแดนคือ ปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวาบุตรนูน 18 และผู้นำซึ่งได้รับแต่งตั้งจากแต่ละเผ่า เพื่อช่วยแบ่งสรรดินแดนนั้น 19 รายชื่อของพวกเขา ได้แก่
คาเลบบุตรเยฟุนเนห์
จากเผ่ายูดาห์
20 เชมูเอลบุตรอัมมีฮูด
จากเผ่าสิเมโอน
21 เอลีดาดบุตรคิสโลน
จากเผ่าเบนยามิน
22 บุคคีบุตรโยกลี
ผู้นำจากเผ่าดาน
23 ฮันนีเอลบุตรเอโฟด
ผู้นำจากเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ
24 เคมูเอลบุตรชิฟทาน
ผู้นำจากเผ่าเอฟราอิมบุตรโยเซฟ
25 เอลีซาฟานบุตรปารนาค
ผู้นำจากเผ่าเศบูลุน
26 ปัลทีเอลบุตรอัสซาน
ผู้นำจากเผ่าอิสสาคาร์
27 อาหิฮูดบุตรเชโลมี
ผู้นำจากเผ่าอาเชอร์
28 เปดาเฮลบุตรอัมมีฮูด
ผู้นำจากเผ่านัฟทาลี”
29 คนเหล่านี้คือผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้จัดสรรมรดกแก่ชนอิสราเอลในดินแดนคานาอัน
เมืองของพวกเลวี
35 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค[d]ว่า 2 “จงสั่งชนอิสราเอลให้ยกเมืองบางเมืองและทุ่งหญ้าโดยรอบจากมรดกที่ชาวอิสราเอลครอบครองให้แก่ชนเลวี 3 เมืองเหล่านี้จะเป็นที่พักอาศัยของพวกเขา และทุ่งหญ้าซึ่งอยู่รายรอบสำหรับฝูงสัตว์ของเขา
4 “ทุ่งหญ้าของชนเลวีมีระยะห่างประมาณ 450 เมตร[e] จากกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน 5 ฉะนั้นจะมีอาณาเขตด้านทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกด้านละประมาณ 900 เมตร[f]โดยมีเมืองอยู่ใจกลาง พวกเขาจะได้ใช้พื้นที่นี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์สำหรับเมืองนั้นๆ
เมืองลี้ภัย(A)
6 “เจ้าจงยกเมืองหกแห่งให้แก่คนเลวี เพื่อเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีไปลี้ภัย นอกจากนั้นจงยกเมืองต่างๆ ให้อีก 42 เมือง 7 เจ้าต้องยกเมืองให้ชนเลวีรวมทั้งหมด 48 หัวเมืองและทุ่งหญ้าโดยรอบ 8 เมืองที่เจ้ายกให้คนเลวีจากดินแดนที่คนอิสราเอลครอบครองจะต้องเป็นไปตามสัดส่วนของมรดกในแต่ละเผ่า คือเผ่าที่มีมากก็ให้มาก แต่เผ่าที่มีน้อยก็ให้น้อย”
9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 10 “จงบอกชนอิสราเอลว่า ‘เมื่อพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่คานาอันแล้ว 11 จงกำหนดเมืองลี้ภัยไว้ เพื่อผู้ที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีเข้าไปพักพิง 12 เมืองเหล่านี้จะเป็นที่หลบหนีจากการแก้แค้นจากญาติของผู้ตาย เพื่อไม่ให้จำเลยตายก่อนที่จะถูกไต่สวนต่อหน้าชุมนุมประชากร 13 เมืองทั้งหกแห่งนี้จะเป็นเมืองลี้ภัย 14 โดยมีสามแห่งตั้งอยู่ในดินแดนคานาอันและอีกสามแห่งอยู่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 15 เมืองลี้ภัยทั้งหกแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่หลบภัยของชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่สำหรับคนต่างด้าวและผู้สัญจรอีกด้วย เพื่อว่าใครก็ตามที่ได้ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาจะได้หนีไปที่นั่น
16 “ ‘แต่ผู้ใดใช้เหล็กฟาดผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกรและต้องถูกประหาร 17 หรือหากผู้ใดใช้ก้อนหินทุบผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกรและต้องถูกประหาร 18 หรือหากผู้ใดใช้ไม้ตีผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกร และต้องถูกประหารเช่นกัน 19 ผู้แก้แค้นจะสังหารฆาตกรได้เมื่อพบตัว 20 หากผู้ใดจงใจผลักหรือขว้างสิ่งใดใส่ผู้อื่นด้วยความมุ่งร้าย ทำให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย 21 หรือหากผู้ใดชกต่อยผู้อื่นจนตายด้วยความโกรธ เขาเป็นฆาตกร ผู้แก้แค้นจะฆ่าเขาได้เมื่อพบตัว
22 “ ‘แต่หากผู้ใดผลักหรือขว้างปาสิ่งใดใส่ผู้อื่นโดยไม่เจตนา ไม่ได้ทำด้วยความเกลียดชัง 23 หรือทำก้อนหินตกใส่ผู้อื่นโดยไม่เจตนา ไม่เห็น และไม่ได้เป็นศัตรูกัน เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย 24 ชุมนุมประชากรจะต้องตัดสินความระหว่างบุคคลนั้นกับผู้แก้แค้นตามกฎระเบียบเหล่านี้ 25 ชุมนุมประชากรต้องปกป้องผู้ถูกกล่าวหาจากผู้แก้แค้น และส่งเขากลับไปยังเมืองที่เขาไปลี้ภัยนั้น และเขาต้องอยู่ที่นั่นจวบจนมหาปุโรหิตผู้ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์สิ้นชีวิตลง
26 “ ‘แต่หากผู้ถูกกล่าวหาหนีออกจากเมืองลี้ภัย 27 และผู้แก้แค้นพบเขานอกเมืองนั้นและฆ่าเขาไม่ถือเป็นการฆาตกรรม 28 เพราะผู้ถูกกล่าวหาต้องพักอยู่ในเมืองลี้ภัยจวบจนมหาปุโรหิตสิ้นชีวิตเท่านั้น หลังจากนั้นเขาจึงสามารถกลับภูมิลำเนาเดิมของตน
29 “ ‘นี่เป็นข้อกำหนดตามกฎหมายสำหรับเจ้าทั้งหลายสืบไปทุกชั่วอายุ ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ที่ไหน
30 “ ‘ฆาตกรทุกคนจะถูกประหารก็ต่อเมื่อมีพยานมากกว่าหนึ่งปาก หากมีพยานกล่าวหาเพียงปากเดียว จำเลยไม่ต้องถูกประหาร
31 “ ‘อย่ารับค่าไถ่ชีวิตของฆาตกรผู้สมควรตาย เขาจะต้องถูกประหารอย่างแน่นอน
32 “ ‘และอย่ารับค่าไถ่จากผู้ที่หนีไปอยู่ในเมืองลี้ภัย เพื่อให้เขากลับภูมิลำเนาก่อนมหาปุโรหิตสิ้นชีวิต
33 “ ‘อย่าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอยู่แปดเปื้อนมลทิน เพราะการฆาตกรรมทำให้แผ่นดินแปดเปื้อน และไม่อาจชำระมลทินให้แผ่นดินได้ นอกจากใช้เลือดของฆาตกร 34 เจ้าอย่าได้สร้างมลทินแก่แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่และที่เราสถิตอยู่ เพราะเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ท่ามกลางชนอิสราเอล’ ”
ลูกา 5:12-28
Thai New Contemporary Bible
คนโรคเรื้อน(A)
12 ขณะพระเยซูทรงอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง มีคนเป็นโรคเรื้อน[a]ทั้งตัวเดินมาตามทาง เมื่อเขาเห็นพระองค์ เขาก็หมอบซบหน้าลงกับพื้นทูลวิงวอนพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หายได้ถ้าพระองค์เต็มใจ”
13 พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องเขาและตรัสว่า “เราเต็มใจจะรักษา จงหายโรคเถิด!” ทันใดนั้นโรคเรื้อนที่เขาเป็นอยู่ก็หายไป
14 แล้วพระเยซูทรงกำชับเขาว่า “อย่าบอกผู้ใดเลย แต่จงไปแสดงตัวต่อปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาสำหรับการที่เจ้าหายจากโรคเรื้อนตามที่โมเสสสั่งไว้ เพื่อเป็นพยานแก่คนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว”
15 ถึงกระนั้นกิตติศัพท์ของพระองค์กลับเลื่องลือออกไปมากยิ่งขึ้นจนฝูงชนมากมายพากันมาฟังพระองค์และรับการรักษาโรค 16 แต่พระเยซูมักจะทรงปลีกตัวไปอยู่ในที่สงบและอธิษฐาน
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอัมพาต(B)
17 วันหนึ่งขณะพระองค์ทรงสอนอยู่ พวกฟาริสีกับธรรมจารย์จากทุกหมู่บ้านแถบกาลิลี และจากแคว้นยูเดีย และกรุงเยรูซาเล็มมานั่งอยู่ที่นั่นด้วย ฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับพระองค์เพื่อรักษาผู้ป่วย 18 มีผู้หามคนเป็นอัมพาตมาบนที่นอน พยายามจะเข้ามาในบ้านเพื่อวางเขาลงต่อหน้าพระเยซู 19 แต่เมื่อหมดช่องทางเพราะคนแน่นมาก พวกเขาจึงขึ้นไปบนหลังคาบ้านแล้วหย่อนที่นอนซึ่งคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ผ่านช่องหลังคาลงมากลางฝูงชน ตรงหน้าพระเยซูพอดี
20 เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขาก็ตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว”
21 พวกฟาริสีกับธรรมาจารย์คิดในใจว่า “คนที่พูดหมิ่นประมาทพระเจ้าคนนี้เป็นใครกัน? นอกจากพระเจ้าแล้วใครจะอภัยบาปได้?”
22 พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่และตรัสถามพวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านจึงคิดในใจเช่นนั้น? 23 ที่จะพูดว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับ ‘จงลุกขึ้นเดินไป’ อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน? 24 แต่ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาป” แล้วพระองค์ตรัสกับคนเป็นอัมพาตว่า “เราสั่งเจ้าว่าลุกขึ้น จงแบกที่นอนของเจ้าและกลับบ้านไปเถิด” 25 ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวงแล้วแบกที่นอนและเดินร้องสรรเสริญพระเจ้ากลับบ้านไป 26 ทุกคนพากันตื่นเต้นและสรรเสริญพระเจ้า พวกเขาเกรงกลัวจนกล่าวว่า “วันนี้เราได้เห็นเรื่องเหลือเชื่อ”
ทรงเรียกเลวี(C)
27 จากนั้นพระเยซูเสด็จออกไปและทรงเห็นคนเก็บภาษีชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” 28 เลวีก็ลุกขึ้นและละทิ้งทุกสิ่งแล้วติดตามพระองค์ไป
Read full chapterFootnotes
- 5:12 คำภาษากรีกอาจหมายถึงโรคผิวหนังต่างๆ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงโรคเรื้อนเท่านั้น
สดุดี 65
Thai New Contemporary Bible
(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด บทเพลง)
65 ข้าแต่พระเจ้า การสรรเสริญรอคอย[a]พระองค์อยู่ในศิโยน
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะทำตามที่ถวายปฏิญาณไว้กับพระองค์
2 ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงฟังคำอธิษฐาน
มวลมนุษยชาติจะมาเข้าเฝ้าพระองค์
3 เมื่อบาปท่วมท้นข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระองค์ทรงอภัย[b]การล่วงละเมิดของข้าพระองค์ทั้งหลาย
4 ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร
และทรงนำมาใกล้เพื่อให้อยู่ในที่พำนักของพระองค์!
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะอิ่มเอมด้วยสิ่งดีจากพระนิเวศของพระองค์
จากพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
5 พระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ทั้งหลายโดยการสำแดงความชอบธรรมอย่างน่าครั่นคร้าม
ข้าแต่พระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ผู้ทรงเป็นความหวังของทั่วทุกมุมโลก
และของห้วงทะเลไกลโพ้นที่สุด
6 พระองค์ผู้ทรงสถาปนาภูเขาโดยพระเดชานุภาพ
ทรงมีพระกำลังเป็นอาวุธ
7 ผู้ทรงระงับเสียงครืนครั่นของท้องทะเล
เสียงครึกโครมของคลื่น
และเสียงโกลาหลของชนชาติต่างๆ
8 บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ไกลโพ้นหวั่นเกรงการอัศจรรย์ของพระองค์
ในที่ซึ่งฟ้าสางและในที่ซึ่งอาทิตย์อัสดง
พระองค์ทรงให้มีบทเพลงแห่งความชื่นบาน
9 พระองค์ทรงดูแลผืนแผ่นดินและรดน้ำให้
ทรงทะนุบำรุงแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์
สายธารของพระเจ้าเต็มเปี่ยมเพื่อให้ข้าวแก่ผู้คน
เพราะพระองค์ทรงบัญชาไว้เช่นนั้น[c]
10 พระองค์ทรงให้ฝนชุกรดตามรอยไถ
และทำให้ดินราบเป็นเนื้อเดียวกัน
ทรงให้สายฝนชโลมไล้ผิวดินให้อ่อนนุ่ม
และทรงอวยพระพรพืชพันธุ์
11 พระองค์ทรงอวยพรการเก็บเกี่ยวอย่างอุดมสมบูรณ์
และเกวียนของพระองค์ก็มีพืชพันธุ์ธัญญาหารล้นเหลือ
12 ทุ่งหญ้าเขียวขจีในทะเลทราย
เนินเขาปกคลุมด้วยความชื่นบาน
13 ท้องทุ่งเต็มไปด้วยฝูงแกะ
หุบเขาก็ดาษดื่นด้วยเมล็ดข้าว
ผู้คนโห่ร้องยินดีและขับเพลง
สุภาษิต 11:23
Thai New Contemporary Bible
23 ความปรารถนาของคนชอบธรรมบรรลุแต่ผลดี
แต่ความหวังของคนชั่วจบลงที่ความโกรธโทษทัณฑ์
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.