คำเตือนและคำให้กำลังใจ(A)

12 ขณะนั้นเมื่อประชาชนหลายพันคนมาชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูทรงเริ่มตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงระวัง เชื้อของพวกฟาริสี คือความหน้าซื่อใจคด ไม่มีสิ่งใดที่ถูกปิดบังไว้จะไม่ได้รับการเปิดเผย หรือที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ถูกทำให้ประจักษ์แจ้ง สิ่งที่ท่านกล่าวในที่มืดจะได้ยินในที่แจ้ง และสิ่งที่ท่านกระซิบใส่หูในห้องชั้นในจะถูกป่าวประกาศจากหลังคาบ้าน

“เพื่อนเอ๋ย เราบอกท่านว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แล้วหลังจากนั้นก็ทำอะไรไม่ได้อีก แต่เราจะบอกให้ว่าท่านควรกลัวผู้ใด จงเกรงกลัวพระองค์ผู้ทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะโยนท่านลงนรกหลังจากได้ฆ่ากายของท่านแล้ว ใช่ เราบอกท่านว่าจงเกรงกลัวพระองค์ นกกระจาบขายกันห้าตัวสองบาท[a] ไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้นก็ไม่มีสักตัวที่พระเจ้าทรงลืม อันที่จริงผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านก็ทรงนับทั้งหมดไว้แล้ว อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ายิ่งกว่านกกระจาบหลายตัว

“เราบอกท่านว่าผู้ใดยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะยอมรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าเช่นกัน แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ ก็จะไม่ได้รับการยอมรับต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 10 และทุกคนที่กล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะทรงอภัยให้ แต่ผู้ใดหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ทรงอภัยให้

11 “เมื่อท่านถูกนำตัวไปไต่สวนในธรรมศาลาและถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้าผู้ปกครองและผู้ทรงอำนาจ อย่าวิตกกังวลว่าท่านจะแก้ต่างให้กับตนเองอย่างไรหรือจะพูดอะไร 12 เพราะในเวลานั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนท่านว่าท่านควรพูดอะไร”

คำอุปมาเรื่องเศรษฐีโง่

13 คนหนึ่งในฝูงชนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์เจ้าข้า ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกแก่ข้าพเจ้าด้วย”

14 พระเยซูตรัสตอบว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย ใครตั้งเราให้เป็นตุลาการหรือเป็นผู้แบ่งสมบัติให้เจ้า?” 15 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงระวังให้ดี! จงระวังตนจากความโลภทุกชนิด ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สิ่งของเหลือเฟือ”

16 และพระองค์ตรัสคำอุปมานี้แก่พวกเขาว่า “ที่ดินของเศรษฐีคนหนึ่งให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ 17 เขาคิดในใจว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี? เราไม่มีที่ที่จะเก็บพืชผล’

18 “แล้วเขากล่าวว่า ‘เราจะทำอย่างนี้ คือรื้อยุ้งฉางของเรา แล้วสร้างให้ใหญ่ขึ้นจะได้เอาไว้เก็บพืชผลและข้าวของทุกอย่าง 19 จากนั้นเราก็จะบอกตัวเองว่า “เจ้ามีของดีมากมายเก็บไว้พอสำหรับหลายปี ใช้ชีวิตให้สบาย กินดื่ม และรื่นเริงเถิด” ’

20 “แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘เจ้าคนโง่! คืนนี้ชีวิตของเจ้าจะถูกเรียกคืนจากเจ้า แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ที่ได้รับสิ่งที่เจ้าเตรียมไว้สำหรับตัวเอง?’

21 “ผู้ใดสะสมสิ่งของไว้สำหรับตนแต่ไม่ได้มั่งมีต่อหน้าพระเจ้าก็เป็นเช่นนี้”

อย่าวิตกกังวล(B)

22 แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่า อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม 23 ชีวิตมีค่ายิ่งกว่าอาหาร และร่างกายมีค่ายิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม 24 จงพิจารณาดูนกกา มันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่มีที่เก็บของ ไม่มียุ้งฉาง กระนั้นพระเจ้าก็ทรงเลี้ยงดูนกกาเหล่านี้ และท่านก็มีค่ายิ่งกว่านกมากนัก! 25 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้?[b] 26 ในเมื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ท่านยังทำไม่ได้ แล้วท่านจะกังวลเรื่องอื่นๆ ไปทำไม?

27 “จงพิจารณาว่าดอกไม้เติบโตขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย กระนั้นเราบอกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 28 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนี้ หญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย! พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ? 29 และอย่าใจจดใจจ่อว่าท่านจะเอาอะไรกินเอาอะไรดื่ม อย่ากังวลไปเลย 30 เพราะคนไม่มีพระเจ้าทั่วโลกต่างขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 31 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า แล้วพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่านด้วย

32 “แกะฝูงน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงพอพระทัยที่จะประทานอาณาจักรนั้นแก่ท่าน 33 จงขายทรัพย์สินของท่านและบริจาคแก่คนยากไร้ จงจัดเตรียมถุงเงินที่ไม่มีวันฉีกขาดไว้ให้ตนเอง คือทรัพย์สมบัติในสวรรค์ซึ่งไม่รู้จักหมดสิ้น ในที่ซึ่งไม่มีขโมยมาเฉียดใกล้ และไม่มีมอดแมลงมาทำลาย 34 เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย

จงเฝ้าระวังอยู่(C)

35 “จงแต่งกายให้พร้อมที่จะรับใช้ และดูแลให้บรรดาตะเกียงของท่านส่องสว่างอยู่ 36 เหมือนคนงานผู้คอยรับนายของตนซึ่งจะกลับจากงานเลี้ยงฉลองพิธีแต่งงาน เพื่อเมื่อนายกลับมาเคาะประตู เขาจะเปิดประตูรับนายได้ทันที 37 เป็นการดีสำหรับคนรับใช้เหล่านั้นที่นายกลับมาแล้วพบว่าพวกเขาเฝ้าคอยอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า นายจะแต่งกายของตนให้พร้อมที่จะรับใช้ และให้คนรับใช้เหล่านั้นนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะ แล้วนายจะมาคอยปรนนิบัติ 38 เป็นการดีสำหรับคนรับใช้เหล่านั้นที่นายพบว่าพวกเขาพร้อมอยู่ แม้ว่านายจะมาตอนสองยามหรือสามยามของคืนนั้น 39 แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือหากเจ้าของบ้านล่วงรู้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาย่อมไม่ปล่อยให้ใครบุกเข้ามาในบ้านได้ 40 พวกท่านก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน เพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่ท่านไม่คาดคิด”

41 เปโตรทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ตรัสคำอุปมานี้กับพวกข้าพระองค์หรือกับทุกคน?”

42 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ใครเป็นคนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อและฉลาด ซึ่งนายตั้งให้ดูแลคนรับใช้เพื่อคอยแจกจ่ายอาหารให้พวกเขาตามเวลา? 43 เป็นการดีสำหรับคนรับใช้ผู้นั้นเมื่อนายกลับมาพบว่าเขาทำตามหน้าที่ 44 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า นายจะตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งปวงของนาย 45 แต่ถ้าเขาคิดในใจว่า ‘อีกนานกว่านายของเราจะกลับมา’ เขาจึงเริ่มทุบตีเพื่อนคนรับใช้ชายหญิงและกินดื่มเมามาย 46 นายของคนรับใช้ผู้นั้นจะกลับมาในวันที่เขาไม่คาดคิด และในเวลาที่เขาไม่รู้ตัว นายจะสับเขาเป็นชิ้นๆ และส่งเขาไปอยู่ในที่ของคนที่ไม่เชื่อ

47 “คนรับใช้ที่รู้ใจนายแล้วไม่เตรียมพร้อมและทำตามความประสงค์ของนายจะถูกเฆี่ยนอย่างหนัก 48 ส่วนคนที่ไม่รู้และทำสิ่งที่ควรแก่การลงโทษย่อมจะถูกเฆี่ยนน้อย ทุกคนที่ได้รับมากจะถูกเรียกร้องมาก และคนที่ได้รับมอบหมายไว้มากจะถูกเรียกร้องมากยิ่งกว่า

ไม่ใช่สันติสุขแต่เป็นการแบ่งแยก(D)

49 “เรามาเพื่อนำไฟมาสู่โลก และเราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ไฟนั้นจุดขึ้นแล้ว! 50 แต่เราจะต้องผ่านบัพติศมาอย่างหนึ่ง และเราเป็นทุกข์ยิ่งนักจนกว่าบัพติศมานั้นจะสำเร็จครบถ้วน! 51 ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาสู่โลกหรือ? เปล่าเลย เราขอบอกว่าเรานำการแบ่งแยกมาต่างหาก 52 นับแต่นี้ไป ในครอบครัวหนึ่ง ห้าคนจะแตกแยกกัน สามต่อสองหรือสองต่อสาม 53 พวกเขาจะแตกแยกกัน พ่อจะแตกแยกกับลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกกับพ่อ แม่จะแตกแยกกับลูกสาว และลูกสาวจะแตกแยกกับแม่ แม่สามีจะแตกแยกกับลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จะแตกแยกกับแม่สามี”

เข้าใจยุคสมัย

54 พระองค์ตรัสกับฝูงชนว่า “เมื่อท่านเห็นเมฆลอยขึ้นทางทิศตะวันตก ท่านก็บอกทันทีว่า ‘ฝนจะตก’ และฝนก็ตก 55 และเมื่อลมใต้พัดมา ท่านบอกว่า ‘อากาศจะร้อน’ และก็เป็นเช่นนั้น 56 เจ้าพวกหน้าซื่อใจคด! เจ้ารู้ว่าลักษณะของดินฟ้าอากาศหมายความว่าอย่างไร? แล้วทำไมเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหมายความว่าอย่างไร?

57 “เหตุใดท่านจึงไม่ตัดสินเองว่าอะไรถูกต้อง? 58 ขณะท่านกับคู่ความไปพบผู้พิพากษา จงขวนขวายหาทางตกลงกับเขาให้ได้ระหว่างทาง มิฉะนั้น เขาจะลากท่านไปพบผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบตัวท่านแก่เจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่จะจับท่านเข้าคุก 59 เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะใช้หนี้ครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์[c]

Footnotes

  1. 12:6 ภาษากรีกว่า2 อัสซาริอัน
  2. 12:25 หรือเพิ่มความสูงของตนอีกสักศอกหนึ่งได้?
  3. 12:59 ภาษากรีกว่าเลฟตัน

พระเยซูตักเตือนสาวก

12 ในขณะที่คนจำนวนนับพันได้ชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูได้กล่าวกับสาวกของพระองค์ในตอนแรกว่า “จงระวังเชื้อยีสต์[a]ของพวกฟาริสี คือการเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้แล้วจะไม่ถูกเปิดเผยออก และที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่แสดงให้เป็นที่รับรู้ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพูดในที่มืดจะได้ยินกันในที่แจ้ง และสิ่งใดที่เจ้ากระซิบในห้องลับจะถูกประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน

เพื่อนเอ๋ย เราขอบอกว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่เพียงร่างกาย จากนั้นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อีก เราจะชี้ให้เห็นว่าเจ้าควรกลัวใคร จงกลัวพระองค์ผู้สังหารเจ้าแล้ว ยังมีอำนาจโยนเจ้าลงนรกได้ ใช่แล้ว เราขอบอกเจ้าว่า จงกลัวพระองค์เถิด นกกระจอก 5 ตัวขายได้ในราคาเพียงบาทสองบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ไม่ลืมมันสักตัว แม้แต่ผมบนศีรษะของเจ้า พระเจ้าก็นับไว้แล้ว อย่ากลัวเลย เจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว

เราขอบอกเจ้าว่า ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์ก็จะยอมรับเขาต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วย แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 10 ผู้ที่กล่าวแย้งต่อบุตรมนุษย์ยังจะได้รับการยกโทษอยู่ แต่ผู้ที่พูดจาหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการยกโทษ 11 เมื่อเจ้าถูกพาตัวไปยังศาลาที่ประชุม หรืออยู่ต่อหน้าบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองและบรรดาผู้มีสิทธิอำนาจ ก็อย่ากังวลว่าจะตอบโต้อย่างไรหรือเจ้าจะพูดอะไร 12 เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเจ้าในเวลานั้นว่า เจ้าควรจะพูดอะไร”

อุปมาเรื่องคนมั่งมีกับความเขลา

13 มีคนหนึ่งในฝูงชนได้บอกพระองค์ว่า “อาจารย์ ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้แก่ข้าพเจ้าบ้าง” 14 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย ใครแต่งตั้งให้เราเป็นผู้พิพากษาหรือผู้แบ่งมรดกให้แก่เจ้า” 15 แล้วก็กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “จงระวังเถิด จงระวังตัวจากความโลภทุกชนิด ชีวิตของคนไม่ได้นับจากการมีทรัพย์สินมั่งคั่ง” 16 แล้วพระองค์ได้กล่าวเป็นอุปมากับเขาว่า “คนมั่งมีคนหนึ่งมีที่ดินผืนงามที่ให้ผลดี 17 เขาคิดในใจว่า ‘จะทำอย่างไรดีหนอในเมื่อเราไม่มีที่เก็บพืชผลเลย’ 18 แล้วเขาพูดขึ้นว่า ‘เอาอย่างนี้ดีกว่า เราจะรื้อยุ้งเดิมออก แล้วสร้างให้ใหญ่ขึ้น จะได้มีที่เก็บพืชผลและสินค้า 19 ครั้งนี้เราจะได้บอกตัวเองได้ว่า “เจ้ามีสรรพสิ่งที่สะสมไว้อย่างอุดมสมบูรณ์จนพอใช้ไปอีกหลายปี จงใช้ชีวิตแบบสบาย กินและดื่มและสำเริงสำราญเถิด”’ 20 แต่พระเจ้ากล่าวกับเขาว่า ‘เจ้าคนเขลา ในคืนนี้แหละที่ชีวิตของเจ้าจะดับลง แล้วใครจะได้สิ่งที่เจ้าตระเตรียมไว้สำหรับตนเอง’ 21 นี่คือสิ่งที่จะเกิดกับคนที่สะสมทรัพย์สมบัติให้ตัวเอง แต่ไม่เผื่อแผ่แก่พระเจ้าเลย”

ความกังวล

22 แล้วพระเยซูกล่าวกับเหล่าสาวกต่อไปอีกว่า “ฉะนั้นอย่ากังวลกับชีวิตว่าจะกินอะไร หรือกับร่างกายของเจ้าว่าจะนุ่งห่มอะไร 23 ชีวิตมีค่ายิ่งกว่าอาหาร และร่างกายมีค่ายิ่งกว่าเสื้อผ้า 24 จงดูเถิดว่า อีกาไม่หว่านไม่เก็บเกี่ยว มันไม่มีห้องเก็บหรือยุ้งฉาง พระเจ้าก็ยังเลี้ยงมัน เจ้ามีคุณค่ามากกว่าพวกนกเพียงไร 25 มีใครบ้างที่สามารถยืดชีวิตให้ยาวได้ด้วยความวิตกกังวล 26 ในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งเล็กน้อยนี้ได้ แล้วจะวิตกถึงสิ่งอื่นๆ ทำไม 27 จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ป่าเติบโตขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย อย่างไรก็ดีเราขอบอกเจ้าว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนผู้พร้อมด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ ยังทรงเครื่องไม่งามเท่าดอกไม้ดอกหนึ่ง 28 ถ้าพระเจ้าตกแต่งหญ้าซึ่งยังอยู่ในทุ่งวันนี้ และพรุ่งนี้ถูกโยนลงในเตาไฟ พระองค์จะตกแต่งให้เจ้ามากกว่าเพียงไร เจ้านี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง 29 อย่าตั้งความหวังว่าจะกินหรือดื่มอะไร และอย่าวิตกเรื่องนั้นเลย 30 เพราะชาติต่างๆ ในโลกล้วนเสาะหาสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ และพระบิดาของเจ้าทราบว่าเจ้ามีความจำเป็นในสิ่งเหล่านี้ 31 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระองค์ แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้แก่เจ้าเอง

32 อย่ากลัวไปเลย แกะฝูงน้อยๆ เอ๋ย เพราะพระบิดาของเจ้าพอใจที่จะมอบอาณาจักรนั้นให้แก่เจ้า 33 จงขายของที่เจ้ามีอยู่เพื่อให้แก่คนยากไร้ จัดหาถุงเงินที่ไม่มีวันขาดสำหรับตนเอง เพื่อทรัพย์สมบัติในสวรรค์จะไม่มีวันหมด เป็นที่ซึ่งขโมยไม่อาจเข้าใกล้ และไม่มีแมลงกินผ้า 34 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย

จงเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

35 จงแต่งกายไว้ให้พร้อมที่จะรับใช้ และให้ตะเกียงของเจ้าจุดอยู่ 36 เหมือนกับคนที่คอยนายกลับจากงานเลี้ยงสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตู เขาจะได้เปิดให้นายได้ทันที 37 ผู้รับใช้ย่อมเป็นสุข เมื่อนายกลับมาแล้วพบว่าพวกเขากำลังเฝ้าคอยอยู่ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า นายจะแต่งตัวไว้ให้พร้อมที่จะรับใช้ โดยให้คนรับใช้เอนกายลงรับประทาน และนายเข้ามารอรับใช้พวกเขา 38 พวกคนรับใช้ก็จะเป็นสุข เมื่อนายเห็นว่าพวกเขาเตรียมพร้อม แม้ว่านายกลับมายามดึกหรือรุ่งอรุณก็ตาม 39 จงเข้าใจด้วยว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้เวลาที่ขโมยจะมา เขาก็จะไม่ยอมให้ขโมยบุกรุกเข้ามาในบ้านได้ 40 เจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน เพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่เจ้าไม่ได้คาดคิดไว้”

41 เปโตรถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์เล่าเรื่องเป็นอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน” 42 พระเยซูเจ้าตอบว่า “ใครเล่าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ทั้งซื่อสัตย์และชาญฉลาด ที่นายมอบหน้าที่ให้แจกอาหารแก่คนรับใช้อื่นตามเวลา 43 ผู้รับใช้นั้นจะเป็นสุขเมื่อนายกลับมาพบว่าเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ 44 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า นายจะมอบหน้าที่ให้เขาดูแลทุกสิ่งที่เขามี 45 แต่ถ้าผู้รับใช้พูดกับตนเองว่า ‘กว่านายของเราจะมาก็อีกนาน’ และเขาก็ทุบตีคนรับใช้อื่นๆ ทั้งชายและหญิง แล้วดื่มกินจนเมามาย 46 นายของผู้รับใช้คนนั้นจะมาในวันที่ไม่คาดคิดและในยามที่เขาไม่รู้ นายจะทำโทษอย่างสาหัสสากรรจ์ และให้ไปอยู่กับพวกที่ไม่ภักดี 47 คนรับใช้ที่รู้ความประสงค์ของนาย แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ปฏิบัติตามที่นายต้องการ ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก 48 ส่วนคนที่ไม่รู้ก็สมควรที่จะถูกลงโทษสถานเบา ทุกคนที่ได้รับมาก ก็ถูกเรียกร้องคืนจากเขามาก และคนที่ได้รับมากกว่านั้น ก็ยิ่งถูกเรียกร้องคืนมากกว่าอีก

สันติสุขหรือการแตกแยก

49 เรามาเพื่อที่จะโยนไฟลงบนโลก และปรารถนาอย่างยิ่งว่าไฟนั้นได้ถูกจุดไว้แล้ว 50 แต่เรามีบัพติศมาอย่างหนึ่งที่จะต้องรับซึ่งทำให้เราเป็นทุกข์มาก จนกว่าจะเสร็จบริบูรณ์ 51 เจ้าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลกหรือ เปล่าเลย ความเป็นจริงเรานำความแตกแยกมา 52 เพราะตั้งแต่นี้ไปจะมี 5 คนในครอบครัวหนึ่งแตกแยกกันเอง คือสามต่อสอง และสองต่อสาม 53 พ่อต่อต้านลูกชาย และลูกชายต่อต้านพ่อ แม่ต่อต้านลูกสาว และลูกสาวต่อต้านแม่ แม่สามีต่อต้านลูกสะใภ้และลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี”

54 พระองค์กล่าวกับหมู่คนนั้นว่า “เวลาที่ท่านเห็นหมู่เมฆรวมตัวกันทางทิศตะวันตกก็พูดทันทีว่า ‘ฝนกำลังจะตก’ แล้วมันก็ตก 55 เวลาที่ลมใต้พัด ท่านมักจะพูดว่า ‘อากาศจะร้อน’ แล้วมันก็ร้อน 56 พวกหน้าไหว้หลังหลอก ท่านรู้จักตีความการแปรเปลี่ยนของแผ่นดินและท้องฟ้า แต่ทำไมท่านจึงไม่รู้จักตีความของยามนี้

57 ทำไมท่านไม่ตัดสินเองว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 58 ระหว่างทางที่จะไปพบเจ้าหน้าที่บังคับคดี จงพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะปรองดองกับโจทก์ มิฉะนั้นเขาอาจจะลากท่านไปหาผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะส่งเรื่องต่อให้ผู้คุม และผู้คุมโยนท่านเข้าคุก 59 เราขอบอกท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าท่านจะจ่ายเงินเหรียญสุดท้ายเสียก่อน”

Footnotes

  1. 12:1 เชื้อยีสต์ ในพระคัมภีร์มักจะหมายถึงสิ่งที่ชั่วร้าย