ยูดาสผูกคอตาย

27 พอรุ่งเช้าบรรดาหัวหน้าปุโรหิตและผู้อาวุโสในหมู่ประชาชนได้ตกลงกันว่าจะประหารพระเยซู พวกเขามัดพระองค์พาไปมอบตัวแก่ผู้ว่าการปีลาต

เมื่อยูดาสผู้ทรยศพระเยซูเห็นว่าพระองค์ถูกตัดสินลงโทษก็รู้สึกผิดจับใจ เขาจึงนำเงินสามสิบเหรียญมาคืนแก่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโส และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปไปแล้วด้วยการทรยศผู้บริสุทธิ์ ทำให้เขาถึงตาย”

พวกนั้นตอบว่า “แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วย? นั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า”

ดังนั้นยูดาสจึงขว้างเงินนั้นเข้าไปในพระวิหาร แล้วออกไปผูกคอตาย

พวกหัวหน้าปุโรหิตเก็บเงินมาแล้วกล่าวว่า “ผิดบทบัญญัติที่จะเก็บเงินนี้เข้าคลังพระวิหารเพราะเป็นเงินค่าโลหิต” เขาจึงตกลงกันว่าจะใช้เงินนั้นซื้อที่ดินซึ่งรู้จักกันว่า ทุ่งช่างปั้นหม้อ ไว้เป็นที่ฝังศพคนต่างด้าว ฉะนั้นทุ่งดังกล่าวจึงได้ชื่อว่า ทุ่งโลหิต มาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็เป็นจริงตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า “เขาทั้งหลายนำเงินสามสิบเหรียญซึ่งเป็นค่าตัวของเขาตามที่ชนอิสราเอลตั้งให้ 10 ไปซื้อที่ดินของช่างปั้นหม้อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้าไว้”[a]

พระเยซูต่อหน้าปีลาต(A)

11 ขณะเดียวกันพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการและผู้ว่าการถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”

พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า”

12 พระองค์ไม่ได้ทรงตอบข้อกล่าวหาของพวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสเลย 13 ปีลาตจึงถามว่า “ท่านไม่ได้ยินข้อหาที่พวกเขาฟ้องท่านหรือ?” 14 แต่พระองค์ไม่ตรัสตอบข้อกล่าวหาใดๆ เลยทำให้ผู้ว่าการประหลาดใจยิ่งนัก

15 ในช่วงเทศกาลเป็นธรรมเนียมที่ผู้ว่าการจะปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่งตามที่ประชาชนเลือก 16 ครั้งนั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์ชื่อเยซูบารับบัส[b] 17 เมื่อประชาชนมารวมตัวกันแล้วปีลาตจึงถามว่า “พวกท่านต้องการให้เราปล่อยคนไหน เยซูบารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” 18 เพราะปีลาตรู้ว่าพวกเขาจับพระเยซูมาด้วยความอิจฉา

19 ขณะปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษา ภรรยาของท่านส่งคนมาเรียนท่านว่า “อย่าไปเกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์คนนี้เลยเนื่องจากวันนี้ดิฉันฝันร้ายไม่สบายใจมากเพราะท่านผู้นี้”

20 แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสยุยงประชาชนว่าให้พวกเขาขอปีลาตให้ปล่อยบารับบัสและให้ประหารพระเยซู

21 ผู้ว่าการถามว่า “ท่านต้องการให้ปล่อยคนไหนในสองคนนี้?”

พวกเขาตอบว่า “บารับบัส”

22 ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้เราทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?”

พวกนั้นทั้งหมดพากันร้องว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

23 ปีลาตถามว่า “ทำไม? เขาทำผิดอะไร?”

แต่ทุกคนร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะลุกฮือขึ้น เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนและกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องการตายของชายผู้นี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน!”

25 คนทั้งปวงตอบว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่กับเราและลูกหลานของเราเถิด!”

26 แล้วปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา แต่ให้คนโบยตีพระเยซูและมอบตัวให้ไปตรึงที่ไม้กางเขน

พวกทหารเยาะเย้ยพระเยซู(B)

27 จากนั้นทหารของผู้ว่าการนำพระเยซูเข้าไปในศาลปรีโทเรียมและระดมทหารทั้งกองมารายล้อมพระองค์ 28 พวกเขาเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออก แล้วเอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ 29 จากนั้นจึงสานมงกุฎหนามสวมที่พระเศียร หยิบไม้ใส่พระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าต่อหน้าพระองค์และเยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” 30 เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และเอาไม้นั้นตีพระเศียรครั้งแล้วครั้งเล่า 31 หลังจากเยาะเย้ยพระองค์แล้ว ก็ถอดเสื้อนั้นออก เอาเสื้อผ้าของพระองค์เองมาสวมให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่ไม้กางเขน

การตรึงที่ไม้กางเขน(C)

32 ขณะออกไปก็พบชายคนหนึ่งจากไซรีนชื่อซีโมน พวกทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขนนั้น 33 เมื่อพวกเขามาถึงที่ซึ่งเรียกว่า กลโกธา ซึ่งแปลว่า สถานแห่งหัวกะโหลก 34 ก็เอาเหล้าองุ่นผสมน้ำดีมีรสขมมาถวาย พระเยซูทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย 35 เมื่อเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน[c] 36 และพวกเขานั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 เหนือพระเศียรมีข้อหาเขียนติดไว้ว่า “นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว” 38 โจรสองคนถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ 39 ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้าพูดสบประมาทพระองค์ 40 และกล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน จงช่วยตัวเองให้รอด! ลงมาจากกางเขนสิถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า!”

41 เช่นเดียวกันพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโส ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า 42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอด แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้! เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล! ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้สิแล้วเราจะเชื่อเขา 43 เขาวางใจในพระเจ้าก็ให้พระเจ้าช่วยเขาตอนนี้สิถ้าพระองค์ยังต้องการเขาอยู่ เพราะเขาพูดว่า ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’ ” 44 พวกโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็พากันพูดดูถูกดูหมิ่นพระองค์ต่างๆ นานาด้วย

พระเยซูสิ้นพระชนม์(D)

45 แล้วเกิดความมืดมัวไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง 46 ราวบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี[d] ลามา สะบักธานี?” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?”[e]

47 บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “เขาร้องเรียกเอลียาห์”

48 ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบไม้ส่งให้พระเยซูเสวย 49 คนอื่นๆ พูดว่า “อย่าไปยุ่งกับเขา ให้เราดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่”

50 และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์

51 ขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน 52 อุโมงค์ฝังศพเปิดออกและร่างของวิสุทธิชนหลายคนที่ตายแล้วก็ฟื้นคืนชีวิต 53 พวกเขาออกมาจากอุโมงค์และหลังจากพระเยซูคืนพระชนม์แล้ว พวกเขาก็เข้าสู่นครบริสุทธิ์และปรากฏแก่คนเป็นอันมาก

54 ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเมื่อเห็นแผ่นดินไหวและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตื่นตกใจร้องว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตร[f]ของพระเจ้า!”

55 ผู้หญิงหลายคนอยู่ที่นั่นเฝ้าดูอยู่ห่างๆ พวกเขาติดตามพระเยซูมาจากกาลิลีเพื่อคอยปรนนิบัติพระองค์ 56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบกับโยเซฟ[g] และมารดาของบุตรเศเบดี

การฝังพระศพพระเยซู(E)

57 เมื่อเวลาเย็นใกล้เข้ามาเศรษฐีคนหนึ่งมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เขาเองก็เป็นสาวกของพระเยซู 58 เขาไปพบปีลาตเพื่อขอพระศพพระเยซูและปีลาตก็สั่งให้มอบพระศพแก่เขา 59 โยเซฟเชิญพระศพมา เอาผ้าลินินสะอาดพันพระศพ 60 แล้วนำไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ของตนซึ่งสกัดไว้ในศิลาและกลิ้งหินใหญ่ปิดทางเข้าอุโมงค์ แล้วเขาก็ไป 61 มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่นตรงข้ามอุโมงค์

ทหารยามที่อุโมงค์

62 วันรุ่งขึ้นถัดจากวันเตรียมพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีไปพบปีลาต 63 และเรียนว่า “ใต้เท้าขอรับ พวกข้าพเจ้าจำได้ว่าขณะที่เจ้านักล่อลวงคนนั้นยังมีชีวิตอยู่พูดว่า ‘หลังจากสามวันเราจะเป็นขึ้นมาอีก’ 64 ฉะนั้นขอให้ใต้เท้าสั่งให้คนเฝ้าอุโมงค์อย่างแน่นหนาจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นแล้วสาวกของเขาอาจจะมาลักศพไปและบอกประชาชนว่าเขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว การล่อลวงครั้งนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรก”

65 ปีลาตบอกว่า “เอายามไปเถิด คอยเฝ้าอุโมงค์อย่างแน่นหนาตามที่พวกท่านทำได้” 66 ดังนั้นพวกเขาจึงไปดูแลอุโมงค์ให้แน่นหนาโดยการประทับตราที่หินและวางยามประจำอยู่

Footnotes

  1. 27:10 ศคย. 11:12,13ยรม.19:1-13; 32:6-9
  2. 27:16 สำเนาต้นฉบับบางสำเนาไม่มีคำว่าเยซูเช่นเดียวกับข้อ 17
  3. 27:35 สำเนาต้นฉบับบางสำเนาว่าแบ่งกัน ซึ่งเป็นจริงตามคำที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า “เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาทั้งหลายเอามาจับฉลากแบ่งกัน” (สดด.22:18)
  4. 27:46 สำเนาต้นฉบับบางสำเนาว่าเอลี เอลี
  5. 27:46 สดด.22:1
  6. 27:54 หรือบุตรคนหนึ่ง
  7. 27:56 หรือ โยเสส

ยูดาสผูกคอตาย

27 เมื่อถึงเวลาฟ้าสางพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนได้ร่วมคบคิดกันเพื่อจะทำให้พระเยซูได้รับโทษถึงตาย พวกเขามัดตัวพระองค์และพาไปส่งมอบให้แก่ปีลาตผู้ว่าราชการ

เมื่อยูดาสผู้ทรยศเห็นพระองค์ถูกกล่าวโทษ จึงเสียใจและคืนเหรียญเงิน 30 เหรียญแก่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ เขาพูดว่า “เราได้กระทำบาปด้วยการทรยศคนที่ไร้ความผิด” แต่พวกเขาพูดว่า “แล้วเรื่องอะไรของเราเล่า มันเป็นธุระของท่าน” ยูดาสก็โยนเหรียญเงินนั้นไว้ในพระวิหารแล้วจากไป และเขาก็ไปผูกคอตาย พวกมหาปุโรหิตเอาเงินเหรียญไปพลางกล่าวว่า “ไม่ถูกกฎบัญญัติที่จะเก็บเหรียญไว้ในคลังพระวิหาร ในเมื่อเป็นเงินเปื้อนเลือด” พวกเขาปรึกษากันแล้วก็ซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อไว้สำหรับฝังชาวต่างแดน ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกทุ่งนานั้นว่า ทุ่งโลหิต มาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นไปตามที่พระเจ้ากล่าวผ่านเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าไว้ว่า “และพวกเขาได้เอาเงิน 30 เหรียญซึ่งเป็นราคาที่ตั้งให้ผู้นั้นโดยพวกชนชาติอิสราเอล 10 และเขาเหล่านั้นได้ให้เงินเป็นค่าทุ่งนาของช่างปั้นหม้อ ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งข้าพเจ้าไว้”[a]

ปีลาตสอบสวนพระเยซู

11 ขณะนั้นพระเยซูยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการซึ่งถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูกล่าวว่า “เป็นตามที่ท่านพูด” 12 เมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่กล่าวหาพระองค์ พระองค์ไม่ได้ตอบกลับ 13 แล้วปีลาตพูดกับพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินหรือว่าพวกเขาอ้างคำยืนยันที่ต่อต้านท่านมากมาย” 14 และพระองค์ไม่ได้แก้ข้อกล่าวหาแม้แต่ข้อเดียว ฉะนั้นผู้ว่าราชการจึงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

15 ในงานเทศกาล ผู้ว่าราชการมักจะปลดปล่อยนักโทษ 1 คนตามที่ฝูงชนต้องการ 16 ในเวลานั้นพวกเขากำลังกักตัวนักโทษร้ายกาจคนหนึ่ง ชื่อบารับบัส 17 ฉะนั้นเมื่อพวกเขาประชุมกัน ปีลาตพูดว่า “พวกท่านจะให้เราปลดปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์” 18 เขารู้อยู่ว่า ชาวยิวได้มอบพระเยซูให้แก่เขาเนื่องจากความอิจฉา 19 ขณะที่ปีลาตนั่งตัดสินความอยู่นั้น ภรรยาของเขาส่งคนมาเรียนว่า “อย่าไปทำอะไรกับคนที่ไม่มีความผิดคนนั้นเลย เพราะว่าเมื่อคืนดิฉันฝันถึงเขา และก็ทำให้ดิฉันทรมานมาก” 20 แต่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ชักจูงฝูงชนให้ขอปลดปล่อยบารับบัส และฆ่าพระเยซูเสีย 21 ผู้ว่าราชการพูดว่า “พวกท่านอยากให้เราปลดปล่อยคนใดใน 2 คนนี้” และพวกเขาตอบว่า “บารับบัส” 22 ปีลาตพูดว่า “แล้วเราควรจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์” พวกเขาต่างตอบว่า “ให้ตรึงเขาบนไม้กางเขน” 23 ปีลาตถามว่า “ทำไมเล่า เขาทำอะไรชั่วร้ายหรือ” แต่พวกเขาตะโกนมากยิ่งขึ้นว่า “ให้ตรึงเขาไว้บนไม้กางเขน”

24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใด และการจลาจลกำลังก่อตัว เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนพลางพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบกับความตายของชายผู้นี้ นี่เป็นเรื่องของพวกท่านเอง” 25 แล้วทุกคนตอบว่า “พวกเราและลูกหลานของเรารับผิดชอบการตายของเขาเอง” 26 ครั้นแล้วปีลาตจึงปลดปล่อยบารับบัสให้แก่พวกเขาไป หลังจากที่สั่งให้เฆี่ยนพระเยซูแล้ว ก็ให้นำพระองค์ไปตรึงไว้บนไม้กางเขน

ทหารล้อเลียนพระเยซู

27 ดังนั้นพวกทหารของผู้ว่าราชการจึงนำพระเยซูเข้าไปในวังซึ่งเรียกว่าปรีโทเรียม และรวบรวมทหารในกองทั้งหมดมายืนห้อมล้อมพระองค์ 28 พวกเขากระชากเสื้อของพระองค์ออก และคลุมด้วยเสื้อคลุมสีแดงสด 29 แล้วสวมมงกุฎหนามสานไว้บนศีรษะของพระเยซู ให้ถือไม้อ้อไว้ในมือขวา และพวกเขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์และล้อเลียนว่า “ไชโย ขอต้อนรับกษัตริย์ของชาวยิว” 30 พวกเขาถ่มน้ำลายใส่ และเอาไม้อ้อนั้นตบตีศีรษะของพระองค์ 31 หลังจากที่พวกเขาได้ล้อเลียนพระเยซูแล้วก็ถอดเสื้อคลุมออก สวมเสื้อตัวนอกของพระองค์คืนให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน

ไม้กางเขน

32 ขณะที่กำลังเดินกันออกไปก็พบกับชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน พวกเขาจึงใช้ให้แบกไม้กางเขนของพระองค์ 33 เมื่อพวกเขามายังสถานที่ซึ่งเรียกว่ากลโกธาซึ่งมีความหมายว่า ที่ของกะโหลกศีรษะ 34 พวกเขาให้พระเยซูดื่มเหล้าองุ่นผสมกับของขม แต่เมื่อพระองค์ชิมแล้ว ก็ไม่ดื่ม 35 เมื่อพวกเขาได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนแล้วก็แบ่งปันเสื้อตัวนอกของพระองค์ด้วยการจับฉลากในหมู่พวกเขาเอง 36 หลังจากนั้นก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 พวกเขาติดข้อกล่าวหาพระองค์ไว้เหนือศีรษะของพระองค์ มีความว่า

“นี่คือพระเยซู กษัตริย์ของชาวยิว”

38 ในเวลานั้นมีโจร 2 คนถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งทางด้านขวาและคนหนึ่งทางด้านซ้าย 39 พวกผู้คนที่เดินผ่านไป ต่างก็เยาะเย้ยพระองค์พลางส่ายหัวกันไปมา 40 และพูดว่า “ในเมื่อท่านเป็นผู้ที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ได้ใน 3 วัน ก็ช่วยตัวเองให้รอดสิ ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ลงมาจากไม้กางเขนเสียเถอะ” 41 พวกมหาปุโรหิตกับอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและพวกผู้ใหญ่ล้อเลียนพระองค์ในทำนองเดียวกันและพูดว่า 42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดชีวิตได้ แต่กลับช่วยตนเองให้รอดไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เวลานี้ก็ให้ลงมาจากไม้กางเขนสิ แล้วพวกเราจะได้เชื่อเขา 43 เขาไว้ใจพระเจ้า ถ้าพระเจ้าต้องการ ก็ให้พระองค์ช่วยเหลือเขาเดี๋ยวนี้ เพราะเขากล่าวไว้ว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’” 44 โจรทั้งสองที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูก็เช่นกัน พวกเขาสบประมาทพระองค์ในทำนองเดียวกัน

พระเยซูสิ้นชีวิต

45 ความมืดปกคลุมไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่าย 3 โมง 46 ประมาณเวลาบ่าย 3 โมง พระเยซูร้องขึ้นเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” คือ “พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้า”[b] 47 บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “คนนี้กำลังเรียกเอลียาห์” 48 ในทันใดนั้น คนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวติดไว้ที่ปลายไม้อ้อยื่นให้พระองค์จิบ 49 คนอื่นพูดว่า “รอดูกันเถิดว่าเอลียาห์จะมาช่วยเหลือเขาหรือไม่” 50 พระเยซูร้องเสียงดังขึ้นอีกครั้ง และสิ้นชีวิต

51 ดูเถิด ผ้าม่านในพระวิหารขาดออกเป็น 2 ท่อนจากส่วนบนถึงส่วนล่าง เกิดแผ่นดินไหว และหินแตกออกจากกัน 52 ถ้ำเก็บศพเปิดออก ร่างของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีวิต 53 เขาเหล่านั้นได้ออกมาจากถ้ำเก็บศพ และหลังจากพระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในเมืองบริสุทธิ์ และปรากฏตัวแก่คนจำนวนมาก 54 เมื่อนายร้อยและพวกคนที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ตกใจกลัวมาก พูดว่า “จริงทีเดียว ผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

55 มีผู้หญิงจำนวนมากซึ่งอยู่ที่นั่นมองดูอยู่แต่ไกล พวกนางได้ติดตามพระเยซูจากแคว้นกาลิลีมาเพื่อปรนนิบัติพระองค์ 56 ในบรรดาหญิงเหล่านั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรชายทั้งสองของเศเบดี

ถ้ำเก็บศพที่เป็นของโยเซฟ

57 ครั้นถึงเวลาเย็น มีชายมั่งมีคนหนึ่งจากเมืองอาริมาเธียชื่อโยเซฟ ซึ่งก็ได้มาเป็นสาวกของพระเยซูเช่นกัน 58 ชายคนนี้ไปหาปีลาตเพื่อขอร่างของพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้เขาเอาร่างไปได้ 59 โยเซฟเอาร่างนั้นไปและพันหุ้มไว้ในผ้าป่านสะอาด 60 เขาวางร่างพระองค์ไว้ในถ้ำเก็บศพของเขาเองซึ่งเจาะเข้าไปในหิน กลิ้งหินก้อนใหญ่พิงปิดทางเข้าถ้ำเก็บศพไว้แล้วจากไป 61 มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกคนก็อยู่ที่นั่นด้วย นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถ้ำเก็บศพ

ทหารยามเฝ้าถ้ำเก็บศพ

62 ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหลังวันจัดเตรียม[c] พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีพากันไปหาปีลาต 63 และพูดว่า “นายท่าน พวกเราจำได้ว่าเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ คนหลอกลวงคนนั้นได้กล่าวไว้ว่า ‘หลังจาก 3 วันเราจะมีชีวิตขึ้นอีก’ 64 ฉะนั้นโปรดสั่งให้คนทำถ้ำเก็บศพให้แน่นหนาจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นพวกสาวกจะมาขโมยร่างไปเสีย และจะพูดกับผู้คนได้ว่า เขาได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว การโกหกครั้งนี้จะส่งผลร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก” 65 ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “พวกท่านเอาทหารยามไปเถิด จงไปอารักขาให้แน่นหนาเท่าที่ท่านจะทำได้” 66 ครั้นแล้วพวกเขาก็ไปทำถ้ำเก็บศพให้แน่นหนา ปิดผนึกหินและมีทหารยามเฝ้าไว้

Footnotes

  1. 27:10 เศคาริยาห์ 11:12,13; เยเรมีย์ 19:1-13; 32:6-9
  2. 27:46 สดุดี 22:1
  3. 27:62 วันจัดเตรียม เป็นวันศุกร์ ในเมื่อชาวยิวทำงานในวันสะบาโตไม่ได้ จึงใช้วันศุกร์เป็นวันจัดเตรียมเพื่อฉลองวันสะบาโต และวันสะบาโตเริ่มหลังจากตะวันตกดินของวันศุกร์

พระเยซูถูกนำตัวไปให้ปีลาตเจ้าเมือง

(มก. 15:1; ลก. 23:1-2; ยน. 18:28-32)

27 ตอนเช้ามืด พวกหัวหน้านักบวชและผู้อาวุโสทั้งหมดได้ตัดสินกันว่า พระเยซูสมควรตาย พวกเขามัดพระองค์ แล้วนำตัวไปมอบให้กับปีลาต[a]เจ้าเมือง

ยูดาสฆ่าตัวตาย

(กจ. 1:18-19)

เมื่อยูดาสคนที่หักหลังพระเยซูเห็นว่าพระองค์ถูกตัดสินลงโทษถึงตาย ก็รู้สึกเสียใจมาก เขาจึงคืนเงินสามสิบเหรียญให้กับหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส ยูดาสคร่ำครวญว่า “ผมทำบาปไปแล้วที่หักหลังคนที่บริสุทธิ์” พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสตอบว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย นั่นมันเรื่องของแก”

ยูดาสโยนเงินทิ้งไปในวิหาร และเดินออกไปผูกคอตาย

พวกหัวหน้านักบวชเก็บเงินนั้นขึ้นมาและพูดว่า “มันผิดกฎ ที่จะเอาเงินแบบนี้เก็บรวมกับเงินของวิหาร เพราะเป็นเงินเปื้อนเลือด” พวกเขาตัดสินใจเอาเงินนี้ไปซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อ เพื่อเอาไว้เป็นที่ฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง ที่ตรงนั้นถูกเรียกว่า “ทุ่งเลือด” มาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่เยเรมียาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดไว้ว่า

“พวกเขาเอาเงินสามสิบเหรียญ ซึ่งเป็นราคาค่าตัวของพระองค์ที่คนอิสราเอลตั้งขึ้น 10 ไปซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อ ตามที่องค์เจ้าชีวิตได้สั่งผมไว้”[b]

ปีลาต เจ้าเมืองสอบสวนพระเยซู

(มก. 15:2-5; ลก. 23:3-5; ยน. 18:33-38)

11 เขาได้นำพระเยซูไปยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองปีลาต เจ้าเมืองได้ถามพระองค์ว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูตอบว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”

12 แต่เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสกล่าวหาพระองค์ พระองค์ก็ไม่ได้ตอบอะไร

13 แล้วปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าไม่ได้ยินข้อกล่าวหามากมายที่เขาว่าเจ้าหรือ”

14 แต่พระองค์ไม่ตอบปีลาตสักคำ ทำให้ปีลาตแปลกใจมาก

ปีลาตพยายามจะปล่อยตัวพระเยซูแต่ไม่สำเร็จ

(มก. 15:6-15; ลก. 23:13-25; ยน. 18:39-19:16)

15 ในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยเป็นประเพณีของเจ้าเมืองที่จะให้ประชาชนเลือกปล่อยนักโทษหนึ่งคน 16 ตอนนั้นมีนักโทษอื้อฉาวคนหนึ่งชื่อบารับบัส 17 เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันแล้ว ปีลาตถามพวกเขาว่า “อยากให้เราปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์” 18 ปีลาตรู้ดีว่าที่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสจับพระเยซูส่งมาให้กับเขานั้นมันเกิดจากความอิจฉา

19 ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัดสินคดี ภรรยาของเขาได้ส่งข้อความมาให้เขาว่า “อย่าไปยุ่งกับผู้ชายที่บริสุทธิ์คนนี้เลย เพราะเมื่อคืนฉันฝันร้ายถึงเขา ทำให้ฉันกลุ้มทั้งวัน”

20 แต่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสได้ยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัส และให้ฆ่าพระเยซู

21 เจ้าเมืองถามประชาชนว่า “จะให้ปล่อยใครดีระหว่างสองคนนี้” ประชาชนตะโกนว่า “บารับบัส”

22 ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้ทำอะไรกับเยซูที่คนเรียกกันว่าพระคริสต์” พวกเขาทุกคนก็ตะโกนว่า “ตรึงมันซะ”

23 ปีลาตถามว่า “ทำไม เขาทำผิดอะไรหรือ” แต่ประชาชนกลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “ตรึงมันซะ”

24 เมื่อปีลาตเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ และเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว เขาจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าประชาชน และพูดว่า “เราไม่เกี่ยวกับการตายของชายคนนี้ พวกคุณรับผิดชอบกันเอาเองก็แล้วกัน”

25 ประชาชนทั้งหมดบอกว่า “พวกเราและลูกๆของเราจะรับผิดชอบต่อการตายของเขาเอง”[c]

26 ปีลาตก็เลยปล่อยบารับบัสให้พวกเขา จากนั้นเขาสั่งให้เฆี่ยนตีพระเยซู และส่งตัวพระองค์ไปให้กับทหารเพื่อเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน

ทหารของปีลาตล้อเลียนพระเยซู

(มก. 15:16-20; ยน. 19:2-3)

27 ทหารของปีลาตนำตัวพระเยซูเข้าไปที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขา แล้วให้ทหารทั้งกองเข้ามารายล้อมพระองค์ไว้ 28 พวกเขาถอดเสื้อผ้าของพระองค์ แล้วเอาชุดสีแดงมาใส่ให้แทน 29 พวกเขาเอากิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมหัวของพระองค์ และให้ถือไม้อ้อไว้ในมือขวา จากนั้นพวกเขาก็แกล้งทำเป็นคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ล้อเลียนพระองค์ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว จงเจริญ” 30 แล้วก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อมาตีหัวพระองค์ 31 เมื่อล้อเลียนจนพอใจแล้ว พวกเขาก็ถอดชุดสีแดง ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมให้ และนำตัวพระองค์ไปตรึงที่ไม้กางเขน

พระเยซูตายบนไม้กางเขน

(มก. 15:21-32; ลก. 23:26-43; ยน. 19:17-27)

32 ขณะที่พวกเขากำลังเดินออกมา ก็พบชายคนหนึ่งมาจากไซรีนชื่อซีโมน พวกเขาจึงได้บังคับให้ซีโมนแบกไม้กางเขนแทนพระเยซู 33 เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่า “กลโกธา” ซึ่งหมายถึง “เนินหัวกระโหลก” 34 พวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาให้พระองค์ แต่เมื่อพระองค์ชิมแล้วก็ไม่ยอมดื่ม 35 หลังจากพวกเขาจับพระองค์ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว ก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน 36 แล้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 เขาเขียนคำกล่าวหาติดไว้เหนือหัวพระองค์ว่า “นี่คือเยซู กษัตริย์ของชาวยิว” 38 มีโจรสองคนถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซู ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง 39 คนที่เดินผ่านไปมาต่างส่ายหัว และพูดเยาะเย้ยว่า 40 “อ้าวไหนบอกว่าจะทำลายวิหาร แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในสามวันไง ถ้าแกเป็นลูกของพระเจ้าจริงก็ให้ช่วยชีวิตตัวเอง แล้วลงมาจากไม้กางเขนสิ”

41 นอกจากนี้พวกหัวหน้านักบวช ครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโส ต่างก็พากันพูดเยาะเย้ยพระองค์ว่า 42 “มันช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้ามันเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง ให้มันลงมาจากไม้กางเขนเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะเชื่อ 43 มันวางใจในพระเจ้า ถ้าพระเจ้าต้องการตัวมัน ก็ขอให้พระเจ้าช่วยชีวิตมันเดี๋ยวนี้ เพราะมันพูดว่า ‘เราเป็นลูกของพระเจ้า’” 44 โจรสองคนที่ถูกตรึงไม้กางเขนกับพระองค์ก็พูดจาดูถูกพระองค์เหมือนกัน

พระเยซูตาย

(มก. 15:33-41; ลก. 23:44-49; ยน. 19:28-30)

45 ตั้งแต่เที่ยงวัน มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 46 ประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูร้องออกมาเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของลูก พระเจ้าของลูก ทำไมถึงทอดทิ้งลูกไป”[d]

47 เมื่อบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน พวกเขาก็พูดกันว่า “เขากำลังเรียกเอลียาห์”

48 ทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำมาชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวมาเสียบที่ปลายไม้อ้อ แล้วยื่นขึ้นไปให้พระองค์ดื่ม 49 แต่พวกที่เหลือพูดว่า “ให้คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยชีวิตเขาหรือเปล่า”

50 พระเยซูร้องเสียงดังออกมาอีกครั้ง แล้วก็สิ้นใจตาย

51 ในขณะนั้นเอง ม่านภายในวิหารได้ฉีกขาดออกเป็นสองส่วนจากบนลงล่าง เกิดแผ่นดินไหว และก้อนหินแตกเป็นเสี่ยงๆ 52 พวกอุโมงค์ฝังศพเปิดออก และร่างของประชาชนของพระเจ้าหลายคนที่ตายไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมา 53 หลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ จากนั้นพากันเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม และปรากฏตัวให้ประชาชนจำนวนมากได้เห็น

54 เมื่อนายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ เห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็กลัวมาก ต่างก็พูดว่า “เขาเป็นลูกของพระเจ้าแน่ๆ”

55 มีผู้หญิงหลายคนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ พวกเธอเคยติดตามรับใช้พระเยซูมาตั้งแต่แคว้นกาลิลี 56 ในพวกนั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์แม่ของยากอบกับโยเซฟ และแม่ของยากอบกับยอห์นที่เป็นภรรยาของเศเบดี

ฝังศพพระเยซู

(มก. 15:42-47; ลก. 23:50-56; ยน. 19:38-42)

57 มีเศรษฐีคนหนึ่งจากเมืองอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เขาเป็นศิษย์ของพระเยซู ในตอนเย็น 58 โยเซฟได้ไปหาปีลาตเพื่อขอศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้ทหารมอบศพพระเยซูให้กับโยเซฟ 59 โยเซฟได้นำศพพระเยซูไป และเอาผ้าลินินสะอาดพันศพไว้ 60 เขานำศพไปไว้ที่อุโมงค์ฝังศพใหม่ของเขาเอง ซึ่งเขาได้ขุดเข้าไปในหิน และก่อนจะจากไป เขากลิ้งหินก้อนใหญ่มาปิดปากอุโมงค์ไว้ 61 ตอนนั้น มารีย์ชาวเมืองมักดาลา และมารีย์อีกคนหนึ่ง ได้มานั่งมองอยู่ตรงข้ามอุโมงค์ฝังศพ

การจัดทหารยามเฝ้าอุโมงค์ฝังศพพระเยซู

62 วันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันหยุดทางศาสนา พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสี มาพบปีลาต 63 และบอกว่า “พวกเราจำได้ว่า เจ้าจอมหลอกลวงคนนั้นเคยพูดไว้ตอนที่ยังมีชีวิตว่า ‘หลังจากสามวัน เราจะฟื้นขึ้นจากความตาย’ 64 ช่วยสั่งให้คนไปเฝ้าที่อุโมงค์ฝังศพด้วยเถอะ เพื่อเฝ้าอย่างแน่นหนาจนถึงวันที่สาม เพราะไม่แน่พวกศิษย์ของมันอาจจะมาขโมยศพไปก็ได้ แล้วไปบอกกับประชาชนทั้งหลายว่า ‘เขาฟื้นขึ้นจากความตาย’ การหลอกลวงครั้งนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก” 65 ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “เอาทหารไปเฝ้าอุโมงค์ฝังศพให้แน่นหนาเท่าที่พวกคุณจะทำได้” 66 ดังนั้นพวกเขาไปที่อุโมงค์ฝังศพ จัดเวรยามดูแลอย่างแน่นหนา และได้ประทับตราไว้บนหินที่ปิดปากทางเข้าอุโมงค์ฝังศพ

Footnotes

  1. 27:2 ปีลาต ปอนทัส ปีลาต เป็นผู้ว่าแคว้นยูเดีย ในปี ค.ศ. 26-36 (พ.ศ. 569-579)
  2. 27:9-10 พวกเขาเอาเงิน … ได้สั่งผมไว้ ดูที่ เศคาริยาห์ 11:12-13; เยเรมียาห์ 32:6-9
  3. 27:25 พวกเรา … ของเขาเอง หรือแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่บนเราและลูกหลานของเรา”
  4. 27:46 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 22:1