โฮเชยากษัตริย์องค์สุดท้ายของอิสราเอล(A)

17 โฮเชยาบุตรเอลาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในสะมาเรียตรงกับปีที่สิบสองของรัชกาลกษัตริย์อาหัสแห่งยูดาห์ พระองค์ทรงครองราชย์อยู่เก้าปี พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่มากเท่ากษัตริย์อิสราเอลองค์ก่อนๆ

กษัตริย์ชัลมาเนเสอร์แห่งอัสซีเรียมาโจมตีโฮเชยาซึ่งเคยสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการ แต่กษัตริย์อัสซีเรียพบว่าโฮเชยาคิดกบฏ งดส่งเครื่องบรรณาการประจำปี และส่งทูตไปเข้าเฝ้ากษัตริย์โส[a]แห่งอียิปต์ พระองค์จึงทรงให้จับโฮเชยาล่ามโซ่ตรวนและจำไว้ในคุก กษัตริย์อัสซีเรียทรงยกทัพมาตีทั่วแผ่นดินอิสราเอลและล้อมเมืองสะมาเรียอยู่สามปี ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา กษัตริย์อัสซีเรียก็เข้ายึดเมืองสะมาเรียและกวาดต้อนชนอิสราเอลไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย ทรงให้ตั้งหลักแหล่งในเมืองฮาลาห์ในโกซานบริเวณริมฝั่งแม่น้ำฮาโบร์ และตามเมืองต่างๆ ของมีเดีย

อิสราเอลตกเป็นเชลยเพราะบาป

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอิสราเอลทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ พวกเขาหันไปนมัสการพระอื่นๆ ดำเนินตามแบบอย่างของบรรดาชนชาติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าพวกเขา และตามแบบอย่างที่กษัตริย์อิสราเอลชักนำ ชนอิสราเอลยังได้ลอบทำบาปหลายอย่างต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา และสร้างสถานบูชาบนที่สูงไว้ทั่วแผ่นดิน จากหอคอยจดป้อมปราการ 10 พวกเขาได้ตั้งหินศักดิ์สิทธิ์และเสาเจ้าแม่อาเชราห์บนเนินเขาสูงทุกยอดและโคนต้นไม้ใหญ่ทุกต้น 11 พวกเขาเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนที่สูงทุกแห่ง เหมือนอย่างชนชาติต่างๆ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ขับไล่ออกไปจากดินแดนเมื่ออิสราเอลเข้ามา อิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายยั่วยุพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า 12 เขานมัสการรูปเคารพต่างๆ ทั้งๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสห้ามว่า “เจ้าอย่าทำสิ่งนี้”[b] 13 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะและผู้ทำนายมาเตือนทั้งอิสราเอลและยูดาห์ว่า “จงหันจากวิถีชั่วร้ายของเจ้า จงปฏิบัติตามคำบัญชาและกฎหมายของเรา ตามบทบัญญัติทั้งสิ้นที่เราได้บัญชาให้บรรพบุรุษของเจ้าเชื่อฟัง และที่เราได้แจ้งแก่เจ้าผ่านทางผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา”

14 แต่อิสราเอลไม่ยอมฟัง เขามีใจดื้อดึงเช่นเดียวกับบรรพบุรุษผู้ที่ไม่ได้วางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา 15 พวกเขาทิ้งกฎหมายและพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงให้ไว้แก่บรรพบุรุษ ไม่ยอมฟังคำเตือนของพระองค์ หันไปติดตามรูปเคารพอันไร้ค่า ตนเองจึงเป็นคนไร้ค่า พวกเขาทำตามอย่างชนชาติต่างๆ ที่อยู่แวดล้อม ทั้งๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสห้ามว่า “จงอย่าทำตามพวกเขา” แต่เขากลับทำในสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้

16 เขาลบหลู่พระดำรัสสั่งของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา สร้างรูปเคารพเป็นลูกวัวสองตัว และเสาเจ้าแม่อาเชราห์ เขานมัสการพระบาอัล กราบไหว้ดวงดาวต่างๆ ในฟากฟ้า 17 เขาถึงกับเอาลูกชายลูกสาวของตนเผาบูชายัญ[c] เขาใช้ไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถา ปล่อยตัวทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและยั่วยุพระพิโรธของพระองค์

18 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอลยิ่งนักและขับไล่เขาออกไปให้พ้นพระพักตร์ เหลืออยู่แต่เพียงเผ่ายูดาห์ 19 แม้แต่ยูดาห์เองก็ไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา แต่ทำตามอิสราเอล 20 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งชนชาติอิสราเอลทั้งหมด พระองค์ทรงลงโทษเขาและมอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้นชิง ตราบจนทรงขจัดเขาออกไปให้พ้นพระพักตร์

21 เมื่อพระเจ้าทรงฉีกอิสราเอลออกไปจากวงศ์วานของดาวิด พวกเขาเลือกเยโรโบอัมบุตรเนบัทเป็นกษัตริย์ เยโรโบอัมชักนำอิสราเอลออกจากการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ไปทำบาปอันใหญ่หลวง 22 ชาวอิสราเอลจมอยู่ในบาปของเยโรโบอัมไม่ยอมเลิกรา 23 จนกระทั่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขจัดเขาออกไปให้พ้นพระพักตร์ตามที่พระองค์ได้ทรงเตือนไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ฉะนั้นอิสราเอลจึงถูกกวาดต้อนจากบ้านเกิดเมืองนอนไปเป็นเชลยอยู่ในอัสซีเรียตราบจนทุกวันนี้

คนต่างชาติมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในสะมาเรีย

24 กษัตริย์อัสซีเรียทรงนำคนจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท และเสฟารวาอิมเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียแทนที่ชาวอิสราเอล พวกเขามายึดครองสะมาเรียและอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ 25 เมื่อพวกเขามาถึงเป็นครั้งแรก เขาไม่ได้นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทรงส่งสิงโตมาอยู่ท่ามกลางพวกเขาและฆ่าบางคนไป 26 กษัตริย์อัสซีเรียทรงได้รับรายงานว่า “ประชาชนที่พระองค์ให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองสะมาเรียไม่ทราบบทบัญญัติของพระแห่งดินแดนนี้ พระองค์จึงทรงส่งสิงโตเข้ามาฆ่าเสียหลายคนเพราะไม่รู้สิ่งที่ควรปฏิบัติ”

27 กษัตริย์อัสซีเรียจึงมีพระบัญชาว่า “ให้ส่งปุโรหิตคนหนึ่งที่ถูกกวาดต้อนมาจากสะมาเรียกลับไปอยู่ที่นั่น เพื่อสอนประชาชนให้ทราบสิ่งที่พระแห่งดินแดนนั้นประสงค์” 28 ดังนั้นปุโรหิตคนหนึ่งซึ่งเป็นเชลยมาจากสะมาเรียจึงมาอยู่ที่เบธเอลและสอนประชาชนให้นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า

29 แต่ชนชาติเหล่านี้ได้สร้างพระของตนในเมืองต่างๆ ที่มาตั้งถิ่นฐานด้วย และตั้งพระไว้ตามสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายซึ่งชาวสะมาเรียได้สร้างไว้ 30 คนที่มาจากบาบิโลนก็สร้างพระสุคคทเบโนท คนจากคูธาห์สร้างพระเนอร์กัล ส่วนคนจากฮามัทสร้างพระอาชิมา 31 ชาวอัฟวิมสร้างพระนิบหัสและพระทารทัก และชาวเสฟารวาอิมเผาลูกของตนสังเวยแด่พระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลค ซึ่งเป็นพระของเมืองเสฟารวาอิม 32 พวกเขานมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ตั้งคนของพวกเขาเองจากทุกประเภทให้เป็นปุโรหิตประจำสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย 33 พวกเขานมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ก็นมัสการเทพเจ้าของตนที่นำมาด้วยตามประเพณีดั้งเดิม

34 พวกเขายังคงยึดถือขนบธรรมเนียมเดิมจวบจนทุกวันนี้ พวกเขาไม่ได้นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงหรือยึดมั่นในกฎหมายและกฎเกณฑ์ บทบัญญัติและพระบัญชาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ไว้แก่วงศ์วานของยาโคบซึ่งพระองค์ประทานนามว่าอิสราเอล 35 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำพันธสัญญากับชนอิสราเอล พระองค์ทรงบัญชาไว้ว่า “อย่านมัสการพระอื่นใด อย่ากราบไหว้ปรนนิบัติหรือถวายเครื่องบูชาแก่พระเหล่านั้น 36 แต่เจ้าจงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว ผู้นำเจ้าทั้งหลายออกจากอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และด้วยพระกรที่เหยียดออก เจ้าจะกราบลงและถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์ 37 เจ้าทั้งหลายจะต้องใส่ใจปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ บทบัญญัติ และพระบัญชาที่พระองค์เขียนไว้ให้เจ้า อย่าไปนมัสการพระอื่นๆ 38 อย่าลืมพันธสัญญาที่เราทำกับเจ้า อย่านมัสการพระอื่นใด 39 แต่จงนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ซึ่งจะกอบกู้เจ้าให้พ้นจากมือของศัตรูทั้งปวง”

40 แต่คนเหล่านั้นไม่ฟัง พวกเขายังคงทำตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิม 41 พวกเขานมัสการทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและรูปเคารพต่างๆ ของตน ลูกหลานของเขาก็ทำตามอย่างบรรพบุรุษเช่นนี้เรื่อยมา

Footnotes

  1. 17:4 อาจจะเป็นชื่อย่อของโอโสร์กอน
  2. 17:12 อพย.20:4,5
  3. 17:17 หรือพวกเขาให้ลูกชายลูกสาวลุยไฟ

โฮเชยาปกครองอิสราเอล

17 โฮเชยาลูกชายของเอลาห์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลในเมืองสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบสองที่กษัตริย์อาหัสปกครองยูดาห์ โฮเชยาครองราชย์อยู่เก้าปี เขาทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ แต่ไม่เลวร้ายเท่ากับกษัตริย์องค์อื่นๆของอิสราเอลที่เคยทำก่อนหน้าเขา

กษัตริย์แชลมาเนเสอร์[a]ของอัสซีเรียได้ขึ้นมาสู้รบกับกษัตริย์โฮเชยาและเอาชนะเขาได้ กษัตริย์โฮเชยาจึงยอมตกเป็นเมืองขึ้นและยอมส่งส่วยให้กับกษัตริย์อัสซีเรีย แต่ต่อมากษัตริย์อัสซีเรีย พบว่าโฮเชยาหักหลังเขา เพราะโฮเชยาได้ส่งทูตไปหากษัตริย์โสของประเทศอียิปต์ และไม่ยอมส่งส่วยให้กับกษัตริย์อัสซีเรียเหมือนที่เคยทำมาทุกๆปี แชลมาเนเสอร์ก็เลยจับตัวโฮเชยาขังไว้ในคุก

อัสซีเรียต้อนอิสราเอลไปเป็นเชลย

กษัตริย์อัสซีเรียได้บุกเข้าไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล เข้าไปถึงเมืองสะมาเรียและล้อมเมืองไว้นานถึงสามปี แล้วกษัตริย์อัสซีเรียก็ยึดเมืองสะมาเรียไว้ได้ ในปีที่เก้าที่โฮเชยาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์อัสซีเรียกวาดต้อนเอาชาวอิสราเอลไปไว้ที่อัสซีเรีย เขาให้คนอิสราเอลตั้งรกรากอยู่ในฮาลาห์ ในเมืองโกซานที่อยู่ติดกับแม่น้ำฮาโบร์และในเมืองต่างๆของชาวเมดัย

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะชาวอิสราเอลทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ที่นำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์ ออกจากภายใต้อำนาจของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ แต่พวกอิสราเอลกลับไปนมัสการพระอื่นๆ และไปทำตัวตามธรรมเนียมประเพณีของพวกชนชาติทั้งหลาย ที่พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าพวกเขา รวมทั้งทำตัวตามธรรมเนียมประเพณีทั้งหลาย ที่บรรดากษัตริย์ของอิสราเอลได้นำเข้ามา ชาวอิสราเอลแอบทำสิ่งต่างๆที่ไม่ถูกต้องและขัดขืนต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาสร้างสถานที่นมัสการหลายแห่งขึ้นสำหรับตัวเอง ตามเมืองต่างๆของพวกเขาตั้งแต่เมืองเล็กๆที่มีแค่หอเฝ้ายามไปจนถึงเมืองใหญ่ที่มีป้อมปราการ

10 พวกเขาจัดตั้งหินศักดิ์สิทธิ์และพวกเสาเจ้าแม่อาเชราห์บนเนินเขาสูงทุกแห่งและใต้ต้นไม้ใบร่มทุกต้น 11 พวกเขาเผาเครื่องหอมบนสถานนมัสการทุกแห่งเหมือนกับพวกชนชาติที่พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าพวกเขา เคยทำกันมาก่อน พวกอิสราเอลทำสิ่งที่เลวร้ายที่ยั่วยุให้พระยาห์เวห์โกรธ 12 พวกเขาไปบูชาพวกรูปเคารพทั้งๆที่พระยาห์เวห์เคยพูดเอาไว้ว่า “พวกเจ้าต้องไม่ทำอย่างนั้น”

13 พระยาห์เวห์เคยเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้าและพวกผู้ที่เห็นมิมิตทุกคนว่า “ให้หันไปจากทางที่ชั่วร้ายทั้งหลายของเจ้า และรักษาคำสั่งต่างๆและกฎทั้งหลายของเรา ให้ทำตามกฎทั้งหมดที่เราได้สั่งให้บรรพบุรุษของเจ้าเชื่อฟัง ที่เราได้ส่งให้กับเจ้าผ่านมาทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่เป็นผู้รับใช้ของเรา”

14 แต่พวกเขาไม่ยอมฟังและยังดื้อดึงเหมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขาที่ไม่ยอมไว้วางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา 15 พวกเขาดูหมิ่นกฎต่างๆของพระองค์และข้อตกลงที่พระองค์เคยทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งคำเตือนต่างที่พระองค์เคยให้กับเขา พวกเขาได้ไปติดตามพวกรูปเคารพที่ไร้ค่าเหล่านั้นซึ่งทำให้ตัวพวกเขาเองไร้ค่าไปด้วย พวกเขาไปเลียนแบบชนชาติต่างๆที่อยู่รอบๆ ถึงแม้พระยาห์เวห์จะเคยสั่งไว้แล้วว่า “อย่าทำตัวเหมือนกับที่พวกนั้นทำกัน”

16 พวกเขาละทิ้งคำสั่งทั้งหลายของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา และได้หล่อรูปเคารพสำหรับตัวพวกเขาเองเป็นลูกวัวสองตัว และยังมีเสาเจ้าแม่อาเชราห์ด้วย พวกเขาไปก้มกราบพวกดวงดาวทั้งหลายและไปบูชาพระบาอัล 17 พวกเขาเอาลูกชายลูกสาวของตัวเองมาเผาไฟเป็นเครื่องบูชายัญ[b] พวกเขาได้ดูหมอ ใช้เวทมนตร์ และยอมขายตัวเองเพื่อทำในสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ ซึ่งยุให้พระองค์โกรธ 18 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงโกรธอิสราเอลมาก และไล่พวกเขาให้พ้นไปจากสายตาของพระองค์ เหลือแต่คนเผ่ายูดาห์เท่านั้น

19 และแม้แต่ยูดาห์เองก็ไม่ยอมรักษาคำสั่งต่างๆของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาได้ไปทำตามธรรมเนียมประเพณีที่อิสราเอลนำเข้ามา

20 พระยาห์เวห์ได้ละทิ้งชาวอิสราเอลทั้งหมด พระองค์ลงโทษพวกเขา และมอบพวกเขาไว้ในกำมือของคนที่มาปล้นพวกเขา ในที่สุดพระองค์ได้ผลักไสโยนพวกเขาออกไปจากหน้าพระองค์จนหมด 21 ตอนที่พระองค์ได้ฉีกอิสราเอลไปจากครอบครัวของดาวิด พวกเขาก็ได้ตั้งเยโรโบอัมลูกชายของเนบัทขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขา เยโรโบอัมได้ชักนำอิสราเอลให้หันเหไปจากพระยาห์เวห์ และทำให้พวกอิสราเอลทำบาปอย่างใหญ่หลวง 22 ชาวอิสราเอลทั้งหลายยืนกรานที่จะทำบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัม และไม่ยอมหันออกจากบาปเหล่านั้น 23 จนกระทั่งพระยาห์เวห์ได้ไล่อิสราเอลให้พ้นไปจากสายตาพระองค์ ตามที่พระองค์เคยพูดไว้ล่วงหน้าแล้วผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหลาย ที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ประชาชนอิสราเอลจึงถูกกวาดต้อนไปจากแผ่นดินของพวกตนไปเป็นเชลยในประเทศอัสซีเรีย และพวกเขาก็ยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้

อัสซีเรียส่งคนต่างชาติยึดสะมาเรีย

24 กษัตริย์ของอัสซีเรียได้กวาดต้อนคนอิสราเอลออกไปจากสะมาเรีย และนำเอาประชาชนเหล่านี้เข้ามาอยู่แทน คือประชาชนจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท เสฟารวาอิม พวกนี้เข้ายึดเมืองสะมาเรียไว้และได้อาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆเหล่านั้น 25 เมื่อคนพวกนี้เข้ามาอาศัยอยู่ในช่วงแรกๆ พวกเขาไม่ยอมนมัสการพระยาห์เวห์ พระองค์จึงได้ส่งพวกสิงโตเข้ามาท่ามกลางพวกเขา และพวกสิงโตได้ฆ่าพวกเขาไปบ้าง 26 จึงมีคนไปบอกกับกษัตริย์ของอัสซีเรียว่า “ชนชาติต่างๆที่ท่านได้จับตัวไป และเอาไปใส่ไว้ในเมืองต่างๆของสะมาเรีย ไม่รู้ว่าพระของแผ่นดินนั้นต้องการอะไร พระองค์นั้นก็เลยส่งพวกสิงโตเข้าไปในท่ามกลางพวกเขา สิงโตเหล่านั้นกำลังฆ่าพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระของแผ่นดินนั้นต้องการอะไร”

27 กษัตริย์ของอัสซีเรียจึงออกคำสั่งไปว่า “ไปเอานักบวชคนหนึ่งจากท่ามกลางนักบวชที่เจ้าจับตัวมาจากสะมาเรีย และส่งเขากลับไปอยู่ที่สะมาเรีย ให้เขาคอยสั่งสอนประชาชนว่าพระของแผ่นดินนั้นต้องการอะไร”

28 นักบวชคนหนึ่งที่เคยถูกกวาดต้อนไปจากเมืองสะมาเรียจึงได้กลับมาอาศัยอยู่ในเมืองเบธเอล และได้สอนให้พวกนั้นรู้ว่าจะนมัสการพระยาห์เวห์อย่างไร

29 แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละชนชาติก็ยังคงสร้างพระของพวกเขาเองไว้ตามเมืองต่างๆที่พวกเขาไปตั้งบ้านเรือนอยู่ และได้นำพระเหล่านั้นไปตั้งไว้ในศาลเจ้าที่ชาวเมืองสะมาเรียได้สร้างไว้ตามสถานที่สูงทั้งหลาย 30 คนจากบาบิโลนได้สร้างพระสุคคท-เบโนท ชาวคูทได้สร้างพระเนอร์กัล และชาวฮามัทได้สร้างพระอาชิมา 31 ชาวอัฟวาได้สร้างพระนิบหัสและพระทารทัก ส่วนชาวเสฟารวาอิมได้เผาลูกๆของพวกเขาเป็นเครื่องบูชายัญให้กับพระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลคที่เป็นพระของชาวเสฟารวาอิม

32 และพวกเขาก็นมัสการพระยาห์เวห์ไปด้วย พวกเขาแต่งตั้งพวกนักบวชขึ้นจากคนทุกประเภทที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา เพื่อถวายเครื่องบูชาแทนพวกเขาในศาลเจ้าตามที่สูงเหล่านั้น 33 อย่างนี้ พวกเขาก็ได้นมัสการพระยาห์เวห์ แต่ก็ยังไปบูชาพวกพระของพวกเขาเองตามธรรมเนียมของชนชาติของพวกเขาก่อนที่จะถูกจับมา

34 แล้วพวกเขาก็ยังทำตามประเพณีดั้งเดิมเหล่านั้นของพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์อย่างที่ควรจะเป็น และไม่ทำตามคำสั่งสอน และข้อบังคับต่างๆรวมทั้งกฎและคำสั่งทุกๆข้อที่พระยาห์เวห์ได้ให้ไว้กับพวกลูกหลานของยาโคบ ที่พระองค์ให้อีกชื่อหนึ่งว่าอิสราเอล 35 พระยาห์เวห์ได้ทำข้อตกลงไว้กับชาวอิสราเอล พระองค์สั่งพวกเขาไว้ว่า “อย่าไปนมัสการพระอื่นๆหรือไปก้มกราบพระเหล่านั้น อย่าไปรับใช้หรือบูชาพวกมัน 36 แต่ให้นมัสการพระยาห์เวห์ ผู้ที่นำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยฤทธิ์อำนาจและแขนที่ยื่นออกมาช่วย พวกเจ้าต้องก้มกราบพระองค์และถวายสัตวบูชาแก่พระองค์ 37 พวกเจ้าต้องระมัดระวังอยู่เสมอที่จะรักษาคำสั่งสอนและข้อบังคับต่างๆ รวมทั้งกฎและคำสั่งที่พระองค์ได้เขียนไว้เพื่อพวกเจ้า อย่าไปนมัสการพระอื่นๆ 38 อย่าลืมข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับพวกเจ้า และอย่าไปนมัสการพระอื่นๆ 39 พวกเจ้าต้องนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าเท่านั้น แล้วพระองค์จะช่วยพวกเจ้าให้รอดพ้นจากกำมือของศัตรูทั้งหมดของพวกเจ้า”

40 แต่พวกเขาไม่ยอมฟัง พวกเขายังคงทำตามแบบเดิมๆที่พวกเขาทำมา 41 ชนชาติเหล่านั้นนมัสการพระยาห์เวห์ แต่พวกเขาก็ยังรับใช้รูปแกะสลักของพวกเขาไปด้วย จนถึงทุกวันนี้ ลูกหลานของพวกเขาก็ยังทำตามสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำกัน

Footnotes

  1. 17:3 กษัตริย์แชลมาเนเสอร์ เป็นกษัตริย์ของอัสซีเรีย จากประมาณปี 727-722 ก่อนพระเยซูมาเกิด
  2. 17:17 พวกเขาเอา … เป็นเครื่องบูชายัญ หรือแปลตรงๆได้ว่า “ให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองลุยเข้าไปในกองไฟ”